การเดินทางสำรวจภูลังกา ตอนที่ 1
ในช่วงวันที่ 28 มกราคม ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ อาจารย์ภาควิชาสถาปัตยกรรม และนิสิตในระดับชั้นปริญญาโทและปริญญาเอกจำนวน 5 คน ได้เดินทางไปสำรวจเก็บข้อมูลในพื้นที่หุบเขาภูลังกาซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอปง จังหวัดพะเยา พื้นที่รอยต่อไปยัง อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน แนวเขาภูลังกาเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาผีปันน้ำตะวันออกเชื่อมต่อไปยังดอยวาว ผาจิ ดอยช้าง พื้นที่บริเวณนี้ปรากฎหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มวัฒนธรรมต่างๆ ตั้งแต่ คนเมือง (ไทยวน), ไทลื้อ, ขมุ, ม้ง, อิ้วเมี่ยน (หรือเรียกสั้นๆว่า “เมี่ยน”) มาหลายร้อยปีแล้ว
ในการเดินทางสำรวจครั้งนี้ ทางคณะฯ จะเน้นการศึกษาการตั้งถิ่นฐานของชาวเมี่ยนเป็นสำคัญ ในอดีต ราวปี พ.ศ.2470-2511 เคยมีหมู่บ้านของชาวเมี่ยนแห่งหนึ่ง ออกเสียงในภาษาเมี่ยนว่า บ้าน “พู่ลั่งก๋า” หรือที่คนเมืองเรียกว่า “บ้านเย้าภูลังกา” หมู่บ้านนี้จัดว่าเป็นการตั้งถิ่นฐานของชาวเมี่ยนที่ยาวนานนับ 40 ปี ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นระยะเวลาที่นานมากเมื่อเทียบกับความเข้าใจเรื่องระบบการทำไร่ของกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูงที่มักจะมีความเชื่อกันว่า “ชาวเขาจะต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยเมื่อดินจืด” เพื่อจะหาที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์กว่า สาหตุที่หมู่บ้านเมี่ยนภูลังกาดำรงอยู่มาได้อย่างยาวนานอาจจะเพราะเป็นศูนย์กลางของระบบโครงข่ายการปกครองแบบจารีตในอดีต ผู้ปกครองชาวเมี่ยนหมู่บ้านภูลังกาชื่อว่า “ท้าวหล้า” เป็นลูกชายของ “พญาคีรี ศรีสมบัติ” ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “เพียหลวง” จากราชอาณาจักรลาว และได้รับยศ “พญา” จากราชสำนักของเมืองน่านเป็น “พญาอินต๊ะคีรี” (สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์พริตเดช) รวมถึงได้รับตำแหน่ง “ศรีสมบัติ” จากสยาม (สันนิษฐานว่าในสมัยรัชกาลที่ 5) พญาคีรีฯ มีหน้าที่ปกครองและเก็บภาษีต่างๆ จากกลุ่มคนบนที่สูงโดยรอบ ในสมัยนั้นหมู่บ้านเมี่ยนที่พญาคีรีปกครองตั้งอยู่ในบริเวณดอยวาว-ผาช้าง จากประวัติศาสตร์บอกเล่าเราคาดการณ์ว่าพญาคีรีน่าจะเสียชีวิตลงในช่วงปี พ.ศ.2466-67 ท้าวหล้าผู้ซึ่งเป็นลูกชายของพญาคีรีจึงย้ายหมู่บ้านขึ้นมาตั้งบนดอยภูลังกานี้
แผนที่บริเวณภูลังกา (Google Map)
ทิวเขาภูลังกานี้มีลักษณะโค้งจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือวนลงไปถึงทิศใต้ หมู่บ้านภูลังกาก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุด แต่ตั้งอยู่บริเวณแนวเขาด้านทิศใต้ค่อนไปทางตะวันออกจากยอดสูงสุด การเดินสำรวจของคณะพวกเราเลือกที่จะเริ่มต้นโดยการขึ้นไปสำรวจยอดดอยภูลังกาเพื่อทำความเข้าใจความหลากหลายของรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและการทำการเกษตร เราเลือกที่จะใช้วิธีการเดินขึ้นแทนการนั่งรถเพราะการเดินจะทำให้เราได้ซึมซับภูมิทัศน์อย่างช้าๆ ทั้งในเชิงวัฒนธรรมและในเชิงธรรมชาติวิทยา ระยะทางจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติขึ้นไปถึงยอดดอยรวมทั้งหมด 5 กิโลเมตร ในช่วงแรกของการเดิน เราเริ่มเดินเข้าไปในป่าดิบเขาทางเดินไม่ลำบากซักเท่าไหร่ เราไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิวแรก เราสามารถมองเห็นแอ่งที่ราบเชียงคำซึ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาได้อย่างชัดเจน โดยพื้นที่ในแอ่งนี้เป็นบริเวณที่มีการตั้งถิ่นฐานของชาวไทลื้อและชาวไทใหญ่มาอย่างช้านานแล้ว (ซึ่งคงจะได้เขียนถึงในลำดับถัดไป) เมื่อเราเดินไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ พืชพันธุ์เริ่มเปลี่ยนสภาพจากป่าดิบเขากลายไปเป็นป่าสน ปลายเดือนมกราคมลมหนาวยังคงพัดอยู่ เป็นโชคอันดีที่ในวันนั้นเป็นวันที่ฟ้าใสเราสามารถมองเห็นภูมิทัศน์โดยรอบอย่างชัดเจน (จากประสบการณ์การเดินขึ้นยอดดอยภูลังกา 2 ครั้งก่อนของผู้เขียน มีเมฆและหมอกลงจัดตลอดเส้นทางทำให้วิสัยทัศน์ค่อนข้างจำกัด) เมื่อเราขึ้นไปถึงระดับความสูงประมาณ 1400 เมตร สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปอีกหน จากป่าสนเขากลายไปเป็นทุ่งหญ้าหิน ในเชิงธรณีสัณฐานภูลังกาเป็นภูเขาหินทรายและหินปูนทำให้บนยอดดอยต้นไม้ใหญ่ไม่สามารถขึ้นได้ ทีมของเราหยุดพักทานอาหารกลางวันกันที่ศาลารูปทรงแปดเหลี่ยมหลังหนึ่ง ศาลาหลังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวเมี่ยนและชาวม้งในช่วงเวลาราว 20 ปีก่อน ในขณะที่มาบุกเบิกเส้นทางการท่องเที่ยว หลังจากที่พวกเราพักผ่อนกันจนหายเหนื่อยแล้ว เราจึงออกเดินทางต่อ ในช่วง 300 เมตรสุดท้าย ช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากที่สุดเพราะเส้นทางที่มีความลาดชันสูง เราค่อยๆเดินขึ้นจนถึงจุดที่เป็นทางแยก ทางแยกขวาไปยอดดอยภูนม ส่วนทางซ้ายเดินขึ้นไปที่ยอดภูลังกา ซึ่งยอดนี้มีความสูง 1720 เมตร ที่ทางแยกนี้มีศาลเพียงตาอยู่ 2 ศาล ถ้าไปถามชาวเมี่ยนที่มาบุกเบิกถึงที่มาของศาลนี้ เราก็จะได้รับฟังประสบการณ์น่าตื่นเต้นมากมาย (ผู้เขียนขอละไว้ในที่นี้) และแล้ว ในที่สุด จากความพยายามของพวกเราทุกคน เราก็เดินกันขึ้นมาถึงยอดที่สูงที่สุดของภูลังกา เราน่าจะใช้เวลาเดินขึ้นทั้งหมดรวมเวลาพัก ราว 4 ชั่วโมง
บรรยากาศระหว่างการเดินขึ้นยอดดอย
1. ยอดดอยภูลังกามองไปทางทิศตะวันตก 2.ยอดดอยภูนม
ที่ยอดดอยภูลังกา เราสามารถรับรู้ได้ถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมผ่านรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและรูปแบบทางการเกษตร ทางทิศเหนือของเรา ห่างไปไม่เกิน 20 กิโลเมตรเป็นเขตแดน สปป.ลาวที่มีทิวเขาสลับซับซ้อน ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเราสามารถมองเห็นแอ่ง (valley) ขนาดเล็กซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านของชาวไทลื้อชื่อบ้านน้ำมินได้อย่างชัดเจน ในอดีตคือเมืองมินเป็นซึ่งเมืองเก่าในระบบจารีตมีผู้ปกครองเป็นพญาขึ้นกับเมืองน่าน การทำนาในปัจจุบันที่เราเห็นเป็นการทำนาระบบลำเหมือง เราสามารถสังเกตได้ถึงการปรับดินให้เป็นขั้นบันไดเพื่อการทดน้ำ เมื่อมองลงไปทางใต้ เราเห็นหมู่บ้านชาวม้งขนาดใหญ่ชื่อว่าบ้านน้ำคะตั้งอยู่บริเวณต้นน้ำคะซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำยม ถัดไปจากหมู่บ้านม้งน้ำคะเราเห็นหมู่บ้านภูลังกาเดิมซึ่งปัจจุบันเป็นสวนของชาวเมี่ยน อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่ายอดดอยภูลังกาเป็นยอดเขาหิน ชาวเมี่ยนผู้เกิดและโตในหมู่บ้านภูลังกาเล่าให้ฟังว่า จากหมู่บ้านภูลังกาเมื่อมองขึ้นมาไปที่ยอดดอยภูลังกาในวันที่ท้องฟ้าเปิดและแดดจัด เราอาจจะเห็นแสงสะท้อนจากก้อนหินเหมือนก้อนหินเปร่งประกายขึ้นมาทำให้ยอดเขาภูลังกาถูกเรียกในภาษาเมี่ยนว่า “ฟินจาเบาะ” แปลว่ายอดเขาศักดิ์สิทธิ์ หรือยอดหินศักดิ์สิทธิ์ ภูมิทัศน์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมต่างๆ ล้วนเต็มไปด้วยความหมาย ผู้คนภายนอกสามารถรับรู้ได้ก็แต่เพียงจากจากการบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่เท่านั้น เนื่องจากธรณีสัณฐานของภูเขาบริเวณนี้เป็นหินปูนบริเวณยอดดอยอาจจะไม่ได้มีต้นไม้ขึ้นเยอะ หลายๆครั้งก็มักจะมีคนคิดไปเองว่าสิ่งที่เราเห็นอยู่นี้คือ “ภูเขาหัวโล้น” ตอบรับกับวาทกรรมชาวเขาตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นความจริงเลย
ยอดดอยภูลังกามองจากหมู่บ้านเมี่ยนภูลังกาเดิม
เราใช้เวลาอยู่บนยอดดอยภูลังกาประมาณ 1 ชั่วโมงเพราะเราต้องใช้เวลาในการเดินลงเขาอีกพอสมควร และยังต้องเดินทางกลับเข้าที่พักที่หมู่บ้านปางค่าใต้ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเมี่ยนเช่นกัน (หมู่บ้านปางค่าเหนือเป็นหมู่บ้านของชาวม้ง) หมู่บ้านปางค่าใต้นี้เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์เชื่อมโยงโดยตรงกับหมู่บ้านเมี่ยนภูลังกาเดิม จากประวัติศาสตร์บอกเล่าของชาวเมี่ยนที่เกิดและโตที่ภูลังกา และข้อมูลการสำรวจภาคสนามของนักมานุษยวิทยา ระบุว่าในราวปี พ.ศ. 2511 เกิดการปราบปรามคอมมิวนิสต์ขึ้นในพื้นที่บริเวณนี้ เริ่มต้นจากหมู่บ้านของชาวม้งที่เรียกกันว่า “บ้านแม้วหม้อ” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านภูลังกา หลังจากเกิดความขัดแย้งกันกับตำรวจตระเวนชายแดน ชาวบ้านถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และเกิดการปราบปรามขึ้น ชาวเมี่ยนในหมู่บ้านภูลังกาก็ได้รับผลกระทบจากการปราบครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ชาวบ้านถูกไล่ลงจากดอยและเริ่มมีการทิ้งระเบิด คุณยายชาวเมี่ยนท่านหนึ่งได้เคยเล่าให้ฟังว่า “ในสมัยนั้น หมู่บ้านภูลังกาอยู่สูง ฟ้าร้องฟ้าผ่าทีเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาน่ากลัวมาก อยู่ไม่ได้จึงต้องย้ายลงมา” เราไม่แน่ใจว่าคำกล่าวของคุณยายท่านนี้อ้างถึง หรือเกี่ยวพันกับเหตุการณ์การปราบปรามคอมมิวนิสต์ข้างต้นหรือไม่ หลังจากที่ชาวเมี่ยนภูลังกาอพยพหลบหนีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ชาวบ้านต้องลี้ภัยไปที่หมู่บ้านหนองบัวซึ่งเป็นบ้านคนเมือง และบ้านแฮะซึ่งเป็นบ้านคนลื้อ (อ.ปง) จากนั้นจึงขยับขยายไปยังหมู่บ้านอื่นๆ เช่นบ้านน้ำต้มรวมถึงอำเภอเชียงคำ จากการสอบถามถึงสาเหตุ ว่าทำไมชาวเมี่ยนถึงเลือกที่จะเริ่มต้นไปอาศัยอยู่ที่บ้านหนองบัวและบ้านแฮะ ก็ได้รับคำตอบว่าเพราะสองหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่มีความคุ้นเคยกันและทำการติดต่อค้าขายกันอยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบันเราอาจจะไม่สามารถจินตนการได้ว่าจากภูลังกาเดิมจะไปบ้านหนองบัวและบ้านแฮะได้อย่างไร เพราะการเดินทางตามเส้นทางถนนปัจจุบันไกลมากระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร แต่การเดินทางสมัยนั้นใช้ม้าเป็นหลัก จากการเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์บอกเล่า ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าเราสามารถเดินไปบ้านหนองบัวและบ้านแฮะ ได้โดยการเลาะไปได้ตามลำน้ำงิม ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ในอดีตถ้าชาวเมี่ยนต้องการจะปลูกเรือนในรูปแบบของคนเมือง ชาวเมี่ยนก็จะจ้างสล่าจาก 2 หมู่บ้านนี้ขึ้นมาปลูกให้ ซึ่งในแต่ละครั้งอาจจะใช้เวลาหลายอาทิตย์ ส่วนสล่าก็จะต้องพำนักอยู่ที่หมู่บ้านเมี่ยนภูลังกาตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง
หลังจากนั้นพอสถานการณ์เริ่มสงบลงในราวปี พ.ศ. 2518-19 ชาวเมี่ยนจากภูลังกาเริ่มกลับมาในพื้นที่แต่ไม่สามารถกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านเดิมได้เพราะตำรวจตระเวนชายแดนยังคงตรึงกำลังอยู่ และเกิดมีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ยม ปี พ.ศ. 2518 อย่างไรก็ตามในสมัยหมู่บ้านภูลังกา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้ขยายพื้นที่ทำการเกษตรลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของภูลังกาและยังคงมีที่ดินอยู่ อดีตชาวเมี่ยนจากภูลังกาส่วนหนึ่งจึงเลือกที่จะกลับมาปักหลักกันในบริเวณนี้ ในช่วงแรกก็มาอยู่รวมกันบริเวณริมน้ำคะโดยสร้างเป็นเรือนพักชั่วคราว และหลังจาก ปี พ.ศ. 2520 จึงย้ายขึ้นมาตั้งบ้านเรือนตามริมถนนเส้น 1148 ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นบ้านปางค่าใต้สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของแต่ละภูมิภาคเป็นเรื่องราวที่มีความน่าสนใจมีเกร็ดความรู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ถ้าปราศจากการบอกเล่าของคนในพื้นที่